เรียบเรียงโดย : ยิ่งศักดิ์ จิตตะโคตร์ (1)
ความเร่งรีบการทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพของประชากรโลก ส่งผลให้สถิติการเกิดโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น พบมากในกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ร้อยละ 90ไม่ทราบสาเหตุเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งองค์การอนามัยโลกรายงานไว้ว่า โรคความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนอายุสั้น ซึ่งทั่วโลก มีผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงถึง 1,000 ล้านคน เสียชีวิตปีละเกือบ 8 ล้านคน เฉลี่ยประมาณนาทีละ 15 คน โดย 1 ใน 3 พบในวัยผู้ใหญ่ และคาดว่าในปี พ.ศ.2568 ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั้งโลกจะป่วยเป็นโรคนี้เพิ่ม 1,560 ล้านคน
สำหรับกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายควบคุมโรคความดันโลหิตสูง1 โดยให้ทุกพื้นที่ตรวจคัดกรองและรณรงค์ให้ประชาชนตรวจสุขภาพประจำปี พบว่าโรคความดันโลหิตสูงในประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป มีจำนวน 23 ล้านคนทุกปี แล้วแบ่งความดันโลหิตสูง ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มคนปกติ กลุ่มที่มีความเสี่ยง และกลุ่มที่ป่วย ปี 2556 คนไทยป่วยด้วยโรคความดันโลหิตเกือบ 11 ล้านคน เสียชีวิต 5,165 คน และพบป่วยรายใหม่ เพิ่มเกือบ 1 แสนคน ร้อยละ 50 ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรค มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในกลุ่มที่ป่วยแล้วมีเพียง1ใน 4 ที่ควบคุมความดันโลหิตได้
จากการศึกษา ของแพทย์สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา กล่าวว่า การแพทย์แบบทางเลือกอย่างการออกกำลังกายแบบแอโรบิคและการบริหารกายจิต ทำให้ความดันโลหิตลดลงได้(2) และการศึกษาของทัศนีย์ ศรีญาณลักษณ์และคณะ (2554) พบว่า รูปแบบที่มีผลการใช้อยู่ในระดับมากได้แก่ โยคะ ชีวจิต และชี่กง ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง นำรูปแบบที่ผู้ป่วยนำมาใช้ในการจัดการอาการได้แก่ การนวด สมาธิ และอาหารและสมุนไพร แสดงให้เห็นถึงการเลือกใช้และผลการใช้การดูแลแบบผสมผสานในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมและจัดระบบการดูแลแบบผสมผสานร่วมกับการดูแลระบบการแพทย์ปัจจุบันแก่ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงได้อย่างเหมาะสม(3) และจากความรู้ทางวิชาการของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย สำนักการแพทย์ทางเลือก กล่าวไว้ว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ หรือ 8อ (อโรคยา อิริยาบถ อุเบกขา อากาศ อาจิณ อุดมปัญญา และอาชีพ) นำมาใช้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพสำหรับโรคเรื้อรัง ต่อไป(4)
ได้แล้ววันนี้