กาญจนาฎ คงคาน้อย
สำนักการแพทย์ทางเลือกฅ
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กระทรวงสาธารณสุข
ปัจจุบันวงการแพทย์ได้ให้ความสนใจในเรื่องของการป้องกันโรคที่เกิดจากพฤติกรรมมากขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูง หัวใจ เบาหวาน โดยให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตประจำวัน ได้แก่ การทำงาน การกิน นอน การพักผ่อนสันทนาการ การออกกำลังกาย และการคิดเชิงบวกเพื่อลดความเครียด ด้านโภชนาการวงการแพทย์ได้ให้ความสำคัญ เกี่ยวกับการเลือกบริโภคไขมันเฉพาะไขมันชนิดที่ดีและที่เป็นประโยชน์ แทนการบริโภคไขมันชนิดเลวที่เป็นสาเหตุให้เกิดความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดหัวใจ กรดไขมันที่มีประโยชน์แต่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง คือกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในปลาน้ำจืดและปลาทะเล กรดไขมันโอเมก้า 3 จะพบ อยู่ในตามอวัยวะต่างๆของปลา เช่น เนื้อปลาตับปลา หนังปลา หัวปลาและไส้ปลา กรดไขมันที่สกัดได้จากไขมันในปลาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นปลาน้ำจืดหรือปลาทะเล นับเป็นแหล่งไขมันดีที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายในการช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้ สาร DHA หรือ Docosahexacnoic Acid ซึ่งพบในกรดไขมันโอเมก้า 3 มีคุณสมบัติช่วยลดคลอเรสเตอรอล หรือลดไขมันชนิดเลว เช่น LDL ที่สะสมในหลอดเลือด และสาร EPA (Ei cosapentaenoic Acid) ซึ่งพบในไขมันปลา มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการสร้างไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ที่เป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดหัวใจอุดตัน นอกจากนี้ EPA ยังช่วยยังยั้งการเกาะตัวกันของเกร็ดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หลอดเลือดเล็กๆที่ไปเลี้ยงร่างกายโดยเฉพาะหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กรดไขมันโอเมก้า 3 ในน้ำมันปลา เป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่มไอโคซานอยด์ (Eicosanoids) ซึ่งได้แก่พรอสตาแกลนดิน 3 (Prostaglandins-3) และทรอมบอกแซน-3 (Thromboxan-3) ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งการเกาะตัวกันของเกร็ดเลือด นอกจากจะช่วยลดการเกิดหลอดเลือดอุดตันแล้ว ยังมีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัวช่วยให้โลหิตไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายดีขึ้น ส่งผลให้การควบคุมระบบความดันโลหิตในหลอดเลือดเป็นปกติ หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ดี แต่มีข้อสงสัยบางประการว่า ระหว่างการรับประทานปลาน้ำจืดและปลาทะเลควรรับประทานปลาอะไร และปลาชนิดไหนดี จึงขอเสนอข้อมูลตารางแสดงปริมาณของกรดไขมัน โอเมก้า 3 ในปลาชนิดต่างๆทั้งปลาน้ำจืดและปลาทะเลที่จับได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติดังนี้
ได้แล้ววันนี้