โดย นางสิริพิมล อัญชลิสังกาศ (Mrs.Siripimon Anchalisankasa)
นักวิชาการสาธารณสุข 7 ว.
กองการแพทย์ทางเลือก
บทนํา
         โยคะเป็นวิถีแห่งการฝากฝนตนเองที่มีมาแต่โบราณในประเทศอินเดีย และในยุคนั้นยังไม่ มีใครรวบรวมให้เป็นระบบที่คนส่วนใหญ่ในยุคนั้นนําไปปฏิบัติได้ เพียงแต่ปฏิบัติไปตามการสอน หรือการการถ่ายทอดโดยผ่านปากต่อปาก และส่วนใหญ่จะเป็นคําแนะนําการฝากฝน จึงมีแนวโน้ม ที่จะคลาดเคลื่อน นอกเสียจากผู้ที่รู้จักใกล้ชิดคุรุ (Guru) เท่านั้นที่จะได้รับการสอน ได้รับความรู้ เป็นการส่วนตัว และไม่มีการเขียนตํารา และบันทึกวิธีการปฏิบัติวิชาโยคะแต่ละสาขาให้ชัดเจน แต่ก็มีการสอนกันหลายสํานัก และครูสอนก็มีมากมาย แต่มีท่านที่ประสบความสําเร็จในการ รวบรวมให้เป็นระบบ ซึ่งเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของท่านมหาริชชี่ ปตัญชลี (Rishi Patanyali) เรียกว่าโยคะสูตร ( The Yogasutra) ซึ่งเป็นการรวบรวมวางรากฐานทุกความสําคัญของพระสูตร โยคะไว้เป็นระบบ แบบแผนที่รัดกุมที่สุด จากนั้นก็มีตําราโยคะมากมายผลิตตามมา ส่วนใหญ่จะ เป็นการแปลมาจากต้นฉบับเดิม และได้นําประสบการณ์ที่ตนเองปฏิบัติโยคะมาเขียน ทั้งหมดนี้ เกิดก่อนคริสต์ศาสนา ( Before The Birth of christ) สําหรับในประเทศไทยตามตําราฤาษีดัดตน วัดโพธิ์ เข้าใจว่าวิชาโยคะเป็นที่รู้จักตั้งแต่รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช โปรดให้สร้างฤาษีดัดตนทําด้วยดิน จนกระทั่งต่อมาปีพ.ศ. 2374 ในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้ปฏิสังขรณะวัดพระเชตุพน เป็นงานใหญ่ และทรงพระกรุณาโปรดให้ฤาษีดัดตนเนื้อชิน 80 ท่าน ตั้งไว้ที่เขาฤาษีดัดตน ด้านใต้ของวิหารทิศพระปัญจวัคคีย์ คนไทยเริ่มรู้จักฤาษีดัดตนมาบริหารร่างกายเพื่อการบําบัด อาการต่าง ๆเช่น แก่อาการปวดเมื่อย ส่วนโยคะเริ่มมีการเผยแพร่ในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ.
2468 -2469เป็นตําราชื่อวิทยาศาสตร์ การหายใจ ซึ่งแปลโดยพระยานรรัตนะราชมานิต และ ในพ.ศ.2499 อาจารย์ชด หัสบําเรอ ได้เปิดสอนโยคะและเผยแพร่ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเรียนและ ฝากปฏิบัติมาจากท่านมหาริชชี่ ศิวะนันทะ เมืองฤาษีเกษ ประเทศอินเดีย และในปัจจุบันโยคะได้ เผยแพร่ไปทั่วโลก ในประเทศไทยมีการเปิดสอนโยคะกันหลายสาขา และในแต่ละสํานักอาจารย์ ที่สอนก็ศึกษามาจากอาจารย์จากสํานักต่าง ๆ ในประเทศไทย ประเทศอินเดียซึ่งเป็นต้นตํารับของ โยคะและจากต่างประเทศ อื่น ๆ การสอนโยคะมีทั้งโยคะเพื่อการบําบัดแต่ยังไม่เป็นที่นิยม แพร่หลาย และการสอนที่มีแพร่หลายอยู่นั้น มุ่งเน้นการสอนเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ
ประวัติของโยคะ 
           โยคะ คือ ภูมิปัญญาอันนิรันดร์ของอินเดีย มีหลักฐานเกี่ยวกับโยคะตั้งแต่สมัยอารยธรรมลุ่มน้ําสินธุ เมื่อราว 3,000 ปี ก่อนคริสต์กาล นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าโยคะมี มากกว่า 5,000 ปีแล้ว โยคะเป็นศาสตร์ที่สําคัญยิ่งของวัฒนธรรมอินเดีย คือ กําเนิดจากประเทศ อินเดีย โดยมีความผูกพันอยู่กับปรัชญาและศาสนาฮินดู
ความหมายของโยคะ โยคะมาจากรากศัพท์ ยุจ แปลว่า รวม องค์รวม เต็มหรือ Integration สิ่งสําคัญ โยคะคือ การรวมกายกับใจของผู้ฝากเข้าไว้ด้วยกัน
           โยคะ หมายถึง กระบวนการที่มนุษย์เรียนรู้ที่จะดํารงชีวิตอย่างเป็นองค์รวมให้ได้มาก ที่สุด ซึ่งรวมไปถึงการทําความรู้จักตัวตนของตัวเองและการลดทอนหรือขจัดสภาวะต่างๆ ที่บั่น ทอนความเป็นองค์รวม ซึ่งการอยู่อย่างองค์รวมโยคะให้ความสําคัญกับเทคนิคต่างๆ ที่จะช่วยให้มนุษย์รู้จักมูลเหตุทุกชนิดที่ขาดสมดุล อันก่อให้เกิดความเจ็บป่วยและจัดปรับให้มันคืนสู่ความ เป็นปกติ ดังนั้น โยคะจึงเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการพัฒนาทางด้านจิตและด้านกายของมนุษย์ และ ทางด้านการบําบัดรักษาไปพร้อมๆ กัน
โยคะให้ความสําคัญยิ่งกับหลักแห่งความสมดุล การฝากท่าโยคะจึงเป็นการเหยียดแล้ว คลายสลับกันไปจนจบ
            โยคะ คือ  วินัยต่อร่างกายและจิตใจมุ่งไปที่การประสานกลมกลืนกับของระบบต่างๆ ของชีวิต โดยอาศัยเทคนิคหลายๆ อย่างประกอบกัน ทั้งอาสนะ (การฝากท่าทางกาย) การหายใจ สมาธิ
สภาวะ 3 ประการของโยคะ
1. การรวมกาย – จิตเข้าด้วยกัน อันหมายถึง การมีสติรู้อยู่กับกายตลอดเวลา
2. ความสมดุล โยคะคือ การสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น ทั้งสมดุลภายในตนเองและสมดุล ระหว่างตนเองกับสิ่งรอบตัว
3. กายพัฒนาจิต  กระบวนการของโยคะเป็นการฝากจิต  โยคะทําให้จิตเข้มแข็ง
ตลอดจนยกระดับจิตให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป
ประเภทของโยคะ
การจัดกลุ่มประเภทโยคะ เดิมจัดไว้ 4 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มญาณโยคะ คือ โยคะที่เน้นการใช้ปัญญาขบคิด จนกระทั่งผู้ฝึกเข้าสู่ความ หลุดพ้น พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของผู้ปฏิบัติญาณโยคะ
2. กลุ่มกรรมะโยคะ คือ โยคะที่มุ่งเน้นด้านการทํางาน การรับใช้ผู้อื่น  โดยไม่ คาดหวังผล ผู้ฝึกโยคะแนวนี้จะทํางานอย่างทุ่มเทไปจนกระทั่งเข้าสู่ความหลุดพ้น ตัวอย่างของ
กรรมะโยคะที่ชัดเจนคือ อรชุนแห่งมหากาพย์ ภควัทคีตา ที่ทําหน้าที่ การรบ ของตนอย่างเป็นกรร มะโยคะ
3. กลุ่มภักดีโยคะ  เน้นการใช้ศรัทธาเป็นตัวนํา  ผู้ฝึกจะสวดมนต์เปล่งเสียงไปจนกระทั่งตนเองถึงซึ่งความหลุดพ้น มีการปฏิบัติ ภักดีโยคะกันมากในอินเดีย แม้ในยุคปัจจุบันที่ เราจะเห็นนักบวชหลายคนทฃ่มเทให้กับการสวดมนต์อย่างจริงจัง
4. กลุ่มราชาโยคะ มุ่งฝึกควบคุมจิต จนกระทั่งเข้าถึงความหลุดพ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาลักษณะการฝึกโยคะที่มีอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน เราอาจ จัดเป็นกลุ่ม ดังนี้
1. กลุ่มที่  มุ่งเน้นการฝึกที่ครอบคลุมวิถีชีวิตโดยรวม  ผู้ฝึกโยคะกลุ่มนี้จะให้ความสําคัญกับการถือศีล 5 (ซึ่งระบุอยู่ในโยคะสูตร) ให้ความสําคัญกับการฝึกท่าโยคะอาสนะ
และให้ความสําคัญกับการฝึกสมาธิด้วย
2. กลุ่มที่ มุ่งเน้นการฝึกกายภาพเป็นหลัก ผู้ฝึกโยคะกลุ่มนี้จะมุ่งเน้นการฝึกท่าโยคะอาสนะ เป็นการเน้นลงไปที่การดูแลสุขภาพกาย การนําโยคะไปประยุกต์ใช้ในเชิง
บําบัดรักษาโรค เช่น power yoga, Astanga yoga, Bikram yoga ฯลฯ
3. กลุ่มที่ มุ่งเน้นการฝึกพลังชีวิต  (พลังปราณ) ผู้ฝึกโยคะกลุ่มนี้จะมุ่งเน้นการฝึกลม หายใจ (ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของพลังปราณ) ฝึกควบคุมจิต เช่น กุณฑาลินีโยคะ, สหัจโยคะ ฯลฯ  พึงระลึกว่า คน ๆ หนึ่งไม่ได้ทําโยคะประเภทใด ประเภทเดียวโดดๆ ในความเป็นจริง แต่ละคนล้วนปฏิบัติโยคะหลายๆ ประเภทอย่างผสมผสานกัน มรรคแปดของโยคะ (วิถีแห่งโยคะ)
การฝึกโยคะไม่ใช้ฝึกท่าโยคะเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงการฝึกโยคะประกอบด้วยเทคนิค 8 ประการ
ซึ่งล้วนมีความสําคัญและมีความเชื่อมโยงกัน ดังนั้น การฝึกโยคะที่ครบสมบูรณ์ควรควบคุมการฝึกมรรคทั้ง 8 ดังนี้
1. ยามะหรือศีล  5  โยคะเป็นการฝึกกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน และการมีจริยธรรมนั้น ถือเป็นพื้นฐานอันดับแรกของความเป็นมนุษย์ทีเดียว ยามะมีด้วยกัน  5 ข้อ ได้แก้ อหิงสา ไม่ลักทรัพย์ ไม่พูดปด ประพฤติพรหมจรรย์และไม่ถือครองวัตถุเกินความจําเป็น
2. นิยามะหรือวินัย  5 คือ การอยู่ร่วมกันในสังคมโดยไม่เบียดเบียน ลําดับถัดไปคือ การสร้างวินัยในตนเอง นิยามะ มีอยู่ด้วยกัน 5 ข้อ คือ อดทน สันโดษ ชําระกายใจให้บริสุทธิ์ หมั่นศึกษาตนเองและมีศรัทธา
 3. อาสนะหรือการดูแลร่างกาย  เมื่อมีศีล  มีวินัย ต่อมาก็ดูแลร่างกายตนเอง อาสนะไม่ใช่การออกกําลังกายอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นการจัดปรับสมดุลให้กับระบบต่างๆ ขั้นตอนในการฝากอาสนะ ได้แก่ การเตรียมความพร้อม ฝากท่าอาสนะ ปิดท้ายด้วยการผ่อนคลาย
4. ปราณยามะหรือการฝึกลมหายใจ เมื่อร่างกายสมดุล เป็นปกติ ก็พร้อมต่อการ ฝึกควบคุมลมหายใจ ลําดับขั้นของการฝึกลมหายใจ คือ เข้าใจระบบหายใจของตนเอง มีสติรู้ลมหายใจของตนเองตลอดเวลา ควบคุมลมหายใจ หายใจช้าลงและลมหายใจสงบ
5. ปรัทยาหาระหรือสํารวมอินทรีย์ เมื่อร่างกายนิ่ง ลมหายใจสงบ จากนั้นก็ฝึก ควบคุมอารมณ์ ซึ่งมักแปรปรวนไปตามการกระทบกระทั่งจากภายนอก ปรัทยาหาระคือ การ ควบคุมประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การสํารวม รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส
6. ธารณะหรือการเพ่งจ้อง  (CONCENTRATION) เมื่อกายสงบ อารมณ์ก็มั่นคง จึงเริ่มอบรมจิต ซึ่งมีธรรมชาติของการไม่อยู่นิ่ง ธารณะคือ การฝึกบรมจิตให้นิ่ง จิตนิ่งเป็นจิตที่ มีประสิทธิภาพเป็นจิตที่สามารถทํางานได้สําเร็จลุล่วง
7. ฌาน (MEDITATION) การอบรมจิตสม่ําเสมอ ทําให้จิตมีคุณภาพสูงขึ้นๆ จนถึง ขั้นฌาน ฌานคือ จิตที่สามารถจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเพียงเรื่องเดียว เป็นจิตดื่มด่ําอยู่ในสิ่งที่กําลัง ทํา เป็นจิตที่รู้เห็นตามความเป็นจริง
8. สมาธิ  (TRANSCONCIOUSNESS) สมาธิของโยคะ ไม่เหมือนกับสมาธิของ พุทธเสียทีเดียว ในที่นี้ สมาธิ คือ ผลสูงสุดที่ได้จากการฝึกโยคะ จิตสมาธิของโยคะคือ จิตที่มี ความเป็นหนึ่งเดียว (โยคะก็แปลว่า หนึ่งเดียว) จิตที่เป็นหนึ่งเดียว คือ จิตที่พ้นจากความเป็นสอง พ้นจากความเป็นธรรมดา เป็นจิตที่หลุดพ้น
เราจะเห็นได้ว่า การปฏิบัติโยคะครบทั้ง  8 ประการ ก็คือ การมี วิถีชีวิต ไปตามครรลอง
ของโยคะซึ่งเป็นการนําพากายของผู้ฝึกให้มีความแข็งแรง ยกระดับจิตของผู้ฝึกให้สูงขึ้น จนไปสู่
เป้าหมายสุดท้าย อันได้แก่ ความหลุดพ้น (โมกษะ) คือ ความเป็นอิสระจากสิ่งผูกมัด
ทั้งหลายทั้งปวง
เทคนิคการฝกโยคะ
เทคนิคการฝึกโยคะทั้งหลายสามารถจัดแบ่งได้เป็น  6 ประเภท ในแต่ละประเภท
ประกอบด้วยวิธีการฝึกที่หลากหลาย ดังนี้
1. อาสนะ (Asanas)
2.ปราณยามะ (Pranayamas)
3.มุทรา พันธะ (Mudras and
Bandhas)
4.กริยา  (Kriyas)
5.สมาธิ  (Meditation)
6.การอบรมทัศนคติ  (Attitude Training Practices)
1. อาสนะ (ASANAS)
อาสนะคือ อริยาบถเฉพาะเป็นการเหยียดยืดส่วนของร่างกาย แล้วคงตัวนิ่งไว้ เพื่อความนิ่งของร่างกาย เพื่อความสงบของจิต อาสนะเป็นการเตรียมร่างกายให้พร้อมสําหรับ การฝึกเทคนิคอื่นๆ ต่อไป
เป้าหมายของอาสนะ
อาสนะช่วยกระตุ่นสัญญาณประสาท-กล้ามเนื้อให้ทํางานอย่างเหมาะสมและ พัฒนาความแข็งแรงของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (มัสเซิลโทน)
ประเภทของอาสนะ
ท่าอาสนะมีอยู่เป็นจํานวนมากมายมหาศาลและสามารถแบ่งออกได้เป็น3 กลุ่ม คือ
1) อาสนะเพื่อสมาธิ เป็นอริยาบถที่ทําให้ร่างกายตั้งตรงอยู่ได้อย่างมั่นคง เป็น เวลานานทั้งลําตัว คอ และศีรษะ โดยไม่ฝืน เช่น ท่านั่งเพรช ท่าปทุมอาสนะ ท่านั่งดอกบัว เป็น
ต้น ท่านั่งเพชร  ท่าปทุมอาสนะ ท่านั่งดอกบัว
2) อาสนะเพื่อสร้างสมดุล  (อาสนะเพื่อสุขภาพกาย) เป็นการเหยียดร่างกายแล้วนิ่ง ทําให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ทํางานได้เป็นปกติ ทําให้เส้นเอ็นกระดูกสันหลังมีความยืดหยุ่น ช่วย
ให้กล้ามเนื้อหลัง  กล้ามเนื้อพยุงกระดูกสันหลังแข็งแรง  กระตุ้นการทํางานของอวัยวะสําคัญภายในช่องท้อง ภายในช่องทรวงอก ให้ทํางานเป็นปกติ มีท่าอาสนะในกลุ่มนี้อยู่เป็นจํานวนมหาศาล ทั้งในอริยาบถนั่ง นอนและยืน เช่น กลุ่มท่านั่ง ได้แก่ ท่าคีม ท่าบิดสันหลัง ท่าหัวจรดเข่า เป็นต้น ท่าคีม  ท่าบิดสันหลัง กลุ่มท่านอน ได้แก่ ท่างู ท่าธนู ท่าคับไถ ท่าปลา ท่าตั๊กแตน เป็นต้น ท่างู  ท่าธนู  ท่าคันไถ กลุ่มท่ายืน ได้แก่ ท่ากงล่อยืน ท่าต้นไม้ ท่าภูเขา เป็นต้น ท่ากงล่อยืน  ท่าต้นไม้ ท่าภูเขา
3) อาสนะเพื่อการผ่อนคลาย เป็นอริยาบถในท่านอน มีวัตถุประสงค์เพื่อผ่อน
คลายทั้งกายและใจ ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ท่า เช่น ท่าศพ ท่าจระเข้ ท่าศพ  ท่าจระเข้
หลักการฝึกอาสนะ
ธรรมชาติของอาสนะประกอบด้วย ทั้งกาย จิต ไม่ใช่เพียงกาย ดังนั้น จิตของผู้ฝึก ก็จะได้รับผลจากอาสนะด้วยเช่นกัน
1. สบาย ทําอาสนะด้วยความรู้สึกสบายตัว ไม่เกร็ง
2. นิ่ง อยู่ในอาสนะอย่างมั่นคง นิ่งสงบ
3. ใช้แรงใช้ความพยายามน้อยที่สุด
4. มีสติ คือ การมีสติกําหนดรู้ รู้ตัวอยู่ทุกขณะ
2. ปราณยามะ
ปราณยามะ คือ การฝึกเพื่อควบคุมระบบหายใจ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกับ ระบบประสาทอัตโนมัติ
เป้าหมายของปราณยามะ
เป้าหมายหลักก็เพื่อ ความสามารถที่จะควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ เพื่อไป ควบคุมอารมณ์ ควบคุมการทํางานของจิต และเพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการฝึกเทคนิคโยคะ ชั้นสูง เช่น สมาธิ
ประเภทของปราณยามะ
มีปราณยามะอยู่เป็นจํานวนมากซึ่งเป็นการเรียงลําดับหรือการผสมผสานวิธีการ หายใจหลายๆ รูปแบบ ผ่านทางรูจมูก2 ข้าง ผ่านทางรูจมูก 1 ข้าง หรือผ่านทางปาก ตําราโบราณ ระบุปราณยามะไว้ 8 ชนิด ดังนี้
1. อุจจัย  (Ujjayi)  2.สุริยา เพทนา  (Suryabhedana) 3.สิทการี (Sitkari)
4.สิตารี  (Sitati)  5.บาสตริกา (Bhastrika) 6.พราหมารี (Bhramari)  7.มูรชา  (Murcha)
8.พลาวินี  (Plavini)
ปราณยามะแบ่งได้เป็น  3 ขั้นตอน ควบคุมลมหายใจเข้า ควบคุมการกลั้นลม
หายใจ ควบคุมลมหายใจออก
1. พูรากะ ( Puraka) ควบคุมลมหายใจเข้า
2. เรชากะ ( Rechaka) ควบคุมลมหายใจออก
3. กุมภกะ (Kumbhaka) ควบคุมการกลั้นลมหายใจ ฝึกปราณยามะอย่างไร
 การกลั้นลมหายใจให้ได้นานโดยไม่รู้สึกอึดอัด คือ สาระสําคัญของปราณยามะ
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น ผู้ฝากหลีกเลี่ยงการกลั้นลมหายใจ เน้นเพียงการ
ควบคุมอัตราส่วนลมหายใจเข้าต่อลมหายใจออก เป็น 1 ต่อ 2 โดยไม่กลั้นลม
หายใจ
ฝึกตามขีดความสามารถของตนเองโดยไม่ฝืน ซึ่งวัดได้จากเมื่อหายใจออกเป็น
รอบสุดท้ายของการฝึกแล้ว ลมหายใจเข้าต่อจากนั้นต้องเป็นปกติ คือ ยังคง
ช้าและสงบ
3. พันธะและมุทรา
พันธะและมุทรา คือ การล็อคและควบคุมกล้ามเนื้อกึ่งควบคุม และกล้ามเนื้อ อัตโนมัติของร่างกาย
เป้าหมายของพันธะและมุทรา
คือ คลายการกระจุกตัวของอวัยวะสําคัญภายในช่องท้อง พัฒนาระบบไหลเวียน เลือดช่วยให้สารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทําให้ร่างกายแข็งแรง มีความ มั่นคงทางอารมณ์
ประเภทของพันธะและมุทรา
พันธะที่ฝึกกันโดยทั่วไป มีอยู่  3 ชนิดคือ
1. จาลนดะพันธะ  (Jalandhara Bandha) การล็อคคาง
2. มูลาพันธะ ( Mula Bandha) การล็อคทวาร
3. อุทธิยานะพันธะ (Uddiyana Bandha) การล็อคท้อง
มุทรามีอยู่เป็นจํานวนมาก มีทั้งการกดนิ้ว ปิดประสาทสัมผัส เช่น ปิดตา ปิด
หู ฯลฯ นอกจากนั้น อาสนะบางท่าก็เรียกว่า มุทรา เพราะมันทําให้เกิดผล
เช่นเดียวกับที่เราได้รับจากพันธะและมุทรา เช่น โยคะมุทรา, สิงหะมุทรา
 ฝึกพันธะและมุทราอย่างไร
การฝึกพันธะและมุทรานั้นคล้ายคลึงกัน เป็นการกดล็อคอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง
4. กริยา
กริยาคือ การทําความสะอาด การชําระล้าง แบ่งเป็น  6 กลุ่ม ซึ่งเป็นที่มาของ
ศัพท์ สัทกริยา Shat-kriyas  (สัทแปลว่า 6)
เป้าหมายของกริยา
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวของเนื้อเยื่อ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของอวัยวะ
ของระบบต่างๆ  และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองของเนื้อเยื่อ  ผลก็คือ ผู้ฝึก
สามารถควบคุมกลไกตอบสนองอัตโนมัติ reflexes ต่างๆ ได้ดีขึ้น  เอื้อต่อความสมดุลของ
กลไกกาย-จิต สัมพันธ์
ประเภทของกริยา
แบ่งออกได้เป็น 6 กลุ่ม ซึ่งในแต่ละกลุ่มก็แบ่งย่อยออกไปมากมาย
1. เดาติ  (Dhauti)  ทางเดินอาหารส่วนบน
2. บาสติ (Basti)  ทางเดินอาหารส่วนล่าง
3. เนติ  (Neti)  โพรงจมูก
4. ตราตะกะ (Trataka)  ตา
5. นาอุลิ  (Nauli)  ช่องท่อง
6. กะปาละบาติ (Kapalabhati) ทางเดินระบบหายใจ
ฝึกกริยาอย่างไร
องค์ประกอบที่ใช้ทําการชําระล่าง ได้แก่
1. อากาศ  (กะปาละบาติ)
2. น้ํา  (ชล เนติ)
3. อาศัยการเสียดสี  (สูตรา เนติ วาสตระ เดาติ
4. อาศัยการเคลื่อนไหว  (นาอุลิ)
5. สมาธิ
สมาธิคือ การฝึกควบคุมการทํางานของจิต เริ่มด้วยการ ถอนการรับรู้จากสัมผัส ภายนอกจนสามารถตัดขาดจากการรับรู้ภายนอก
เป้าหมายของสมาธิ
สมาธิเป็นการทําให้จิตสงบได้เป็นอย่างดี หลักพื้นฐานของสมาธิคือ พัฒนาการรับรู้ ความรู้สึกภายในตนเอง
ประเภทของการฝึกสมาธิ
เทคนิคการฝึกสมาธิมีอยู่มากมาย เป็นกระบวนการที่ค่อย ๆ ดื่มด่ํา ผู้ฝึกค่อย ๆ เพ่งสติ โดยมุ่งลงสู่สิ่งเพียงสิ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ เสียง สัญลักษณ์หรือความรับรู้หนึ่งๆ เช่น การกําหนดรู้ลมหายใจ การเปล่งเสียงโอม
ฝึกสมาธิอย่างไร
เป็นการเสี่ยง หากจะฝึกสมาธิ โดยปราศจากการเตรียมความพร้อมด้วยอาสนะ หรือปราณยามะ อย่างเพียงพอในลําดับชั้นของเทคนิคโยคะ สมาธิถือเป็นการฝึกชั้นสูง
5. การอบรมทัศนคติ เทคนิคในการอบรมทัศนคติ เรียกว่า ยามะ และ นิยามะ คือ การควบคุมพฤติกรรมของตนเองเพื่อพัฒนาทัศนคติที่เหมาะสม การอบรมทัศนคตินี้ถือเป็น การฝึกขั้นพื้นฐาน ก่อนการฝึกเทคนิคโยคะใดๆ
ยามะ หรือ ข้อห้าม
1. อหิงสา (Ahimsa)  การแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง
2. สัตยา (Satya)  การถือสัตย์ ไม่พูดปด
3. อัสตียา  (Asteya)  การไม่ขโมย
4. พรหมจริยา (Brahmacharya) การประพฤติตนไปบนหนทางแห่งพรหม
(ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องจริยธรรมทางเพศเท่านั้น)
5. อปริครหะ (Aparigraha)
นิยามะ หรือ ข้อควรปฏิบัติ
1. เศาจะ (Sauca)
2. สันโดษ (Santosha)
3. ตบะ (Tapas)
4. สวาธยายะ (Svadhyaya)
การไม่ถือครองวัตถุเกินความจําเป็น
หมั่นรักษาความสะอาดกาย ชําระใจให้บริสุทธิ์
พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่
อดทน อดกลั้น
หมั่นศึกษาตนเอง เรียนรู้โยคะ
5. อิศวร ปณิธาน (Ishvara-pranidhana) มีศรัทธา
ด้านความปลอดภัย
ข้อควรระลึกในการทําอาสนะ
เป็นที่ทราบกันแล้วว่าโยคะ
มีเทคนิคต่าง ๆ ในการฝึก
การฝึกให้ถูกต้องและรับ
ประโยชน์สูงสุดจากการฝึก
อย่าฝึกจากตําราเพียงอย่างเดียวควรได้รับการเรียนจากครูสอนที่มี
ทักษะในการสอนที่ถูกต้อง และก่อนฝึกผู้เรียนจะต้องทราบเป้าหมายในการฝึกของแต่ละเทคนิค และประโยชน์ที่ไดัรับจากการฝึกเทคนิคต่าง ๆ ของโยคะ การฝึกปฏิบัติโยคะเป็นปัจเจกเฉพาะคน หลักในการฝึกโยคะคือ ใช้ความรู้สึกเป็นตัวนํา ปิดประสาทสัมผัสทั้งห้า พัฒนาการรับรู้ ความเป็นไปภายใน มีสติมองย้อนกลับเข้าสู่ภายใน และสงบ ตลอดการฝึกอาสนะควรเป็นไปที่ละขั้น ๆ อย่างช้า ๆ นุ่มนวลทั้งตอนเข้าและตอนออกจากท่า พยายามคงในตําแหน่งสุดท้ายไว้สักครู่ โดย ไม่ฝึน อย่าหักโหมเกินขีดจํากัดของตน การฝึกอาสนะไม่ได้เป็นเพื่อการเปรียบเทียบ แข่งขันใด ๆ กําหนดรู้กับผลของอาสนะที่มีต่อเราทั้งกายและใจ หลังอาสนะแต่ละท่าควรพักในท่าศพ
เป็นที่ทราบกันดี อาสนะนั้นให้ผลดีต่อผู้ฝึก แต่เมื่อมีปัญหาสุขภาพยังอาจทําอาสนะ บางท่าได้โดยต้องปรึกษาแพทย์ โดยหลีกเลี่ยงท่าที่จะกระทบต่ออาการที่เป็นอยู่ เช่น ท่ายืนด้วยไหล่ ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ไม่ควรฝึก ท่างู ผู้ฝึกใหม่ ให้ส้นเท้าห่างประมาณ 1 ศอก เพื่อป้องกันการเป็นตะคริว ท่าคีม ผู้ที่เป็นหมอนรองกระดูกพลัดหรือกระดูกหลังอักเสบ ห้ามฝึกท่านี้ (หายแล้วสามารถฝึกได้) ท่าธนู ผู้ที่เป็นไส้เลื่อน หลังโกงมาก ๆ และวัณโรคลําไส้ห้ามทํา ท่าศีรษะอาสนะเบื้องต้น ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง , ไขมันในเลือดสูง, หมอนรอง กระดูกเคลื่อน ห้ามทําท่านี้
ข้อจํากัดของสตรี
อาสนะเป็นผลดีต่อมนุษย์ทั้งชายและหญิง อย่างไรก็ตาม ในช่วงมีประจําเดือนแรงกด จากท่าอาสนะอาจกระทบกระเทือนต่ออวัยวะของระบบสืบพันธุ์ เช่น อาจทําให้เลือดออกมากขึ้น จึงควรงดการฝึกอาสนะ โดยเฉพาะท่าที่เกิดแรงกดในบริเวณดังกล่าว ผู้หญิงมีครรภ์จะต้อง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนจะทําอาสนะใด ๆ
ด้านประสิทธิผล
คุณประโยชน์ของโยคะกับการส่งเสริมสุขภาพ
โดยพื้นฐานโยคะเป็นปรัชญาแขนงหนึ่ง เป็นแนวคิด เป็นวิถีชีวิตครอบคลุมทุก แง่มุมของชีวิต ปัญญา อารมณ์ สมองและกายภาพ โยคะวิวัฒนาการจิตสํานึกของมนุษย์หรือ การพัฒนาตนเองของมนุษย์ซึ่งเป็นประเด็นสําคัญตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์มานับพันปี การ เรียนรู้โยคะนํามนุษย์ไปสู่สมาธิ ลดการปรุงแต่งของจิต ลดการปรุงแต่งของพฤติกรรมและเกิดการ ตระหนักรู้ถึงเป้าหมายและกระบวนการของชีวิต วิธีแบบองค์รวมของโยคะ นําเราไปสู่สุขภาพที่ดี ขึ้นและขจัดปัญหาทั้งทางกายและทางใจ และเป็นที่ทราบกันแล้วว่า อาสนะเป็นขั้นที่ 3 ในมรรค 8 แห่งโยคะ สามารถแบ่งอาสนะได้เป็น 2 กลุ่ม
1. อาสนะเพื่อเสริมสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย เช่น ท่าภุชงค์ ธนู ชาลาภะ
2. อาสนะเพื่อสมาธิ เช่น ปทุมอาสนะ สิทธาอาสนะ สวัสดิกะ สัมมาอาสนะ
ซึ่งผู้ฝึกอาสนะก็แบ่งได้เป็น  2 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มที่มุ่งเน้นไปเรื่องของกาย  (กลุ่มสร้างสมดุลกาย)
2. กลุ่มที่มุ่งเน้นไปยังเรื่องของจิต  (กลุ่มพัฒนาจิต)
ซึ่งผู้ฝึกทั้ง  2 กลุ่มดังกล่าว ฝึกโยคะเพื่อความปรารถนาที่จะรักษาระบบประสาท
และระบบฮอร์โมนให้ทํางานได้ดี เนื่องจากสุขภาพโดยรวมขึ้นกับระบบทั้ง  2 นี้ ส่วนกลุ่มที่ฝาก
อาสนะ เพื่อสมาธิ เพื่อกําจัด การรบกวนทางกายจากกิจกรรมทางจิต และกลุ่มที่ฝึกอาสนะเพื่อ
สมาธิมีการฝึกอาสนะ เพื่อสร้างสมดุลด้วยนั้นมีวัตถุเพิ่มเติมคือ  ต่องการฝึกระบบประสาทให้
แข็งแรง เพื่อรองรับปฏิกิริยาจากพลัง ที่เรียกว่า กุณฑาลินี  ซึ่งจะเกิดขึ้นในระหว่างฝึก การ
ปลุกพลังกุณฑาลินี ถือเป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มพัฒนาจิต ซึ่งจากผลของอาสนะทั้งสองกลุ่ม เราอาจจะศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกาย- จิต ตามคําโบราณที่ว่า จิตที่แข็งแรงอยู่ในกายที่ แข็งแรง ตัวอย่างเช่น คนที่แข็งแรงและสุขภาพดีจะมีอารมณ์ที่มั่นคง ขณะที่คนขี้โรคและอ่อนแอจะ มีอารมณ์แปรปรวน ซึ่งเป็นที่มาของคําว่า กายมีผลต่อจิต
การฝึกอาสนะเพื่อสร้างสมดุลเน้นไปที่การฝึกกายและกระดูกสันหลัง  โดยมี
จุดมุ่งหมายที่จะฝึกระบบประสาทและสมอง ให้พร้อมสําหรับการฝึกโยคะในขั้นสูงต่อไป ซึ่งการ
ฝึกอาสนะเพื่อสร้างสมดุลเป็นการจัดปรับท่าต่างๆ เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่าง
หลากหลาย สุดท้ายเพื่อเอื้อต่อการนั่งสมาธิ ส่วนอาสนะเพื่อสมาธิเป็นการนั่งในท่าที่สบาย โดย
มีการจัดปรับเพิ่มเติมเพื่อเอื้อต่อการฝึกสมาธิ เพื่อให้นั่งได้นานที่สุดเป็นชั่วโมง ๆ ซึ่งเป็นการ
เตรียมร่างกายให้พร้อมต่อการฝึกปราณยามะ ฝึกควบคุมประสาทสัมผัส ฝึกกําหนดจิตให้นิ่ง
ฯลฯ
จากที่กล่าวมาอาจสรุปได้ว่า อาสนะเพื่อการเสริมสร้างสมดุล มีจุดมุ่งหมายสําคัญ
2 ประการคือ
1. เพื่อให้ระบบของร่างกายทํางานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2. ฝึกระบบประสาทและสมองเพื่อการฝึกโยคะชั้นสูง
สําหรับจุดมุ่งหมายประการแรก เป็นที่ทราบดีว่าร่างกายประกอบด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ
หลายชนิด หากเนื้อเยื่อเหล่านี้อยู่ในสภาพดี สุขภาพรวมก็พลอยดีไปด้วย ซึ่งการฝึกทําอาสนะ
เพื่อสร้างสมดุลมีผลต่อการรักษาเนื้อเยื่อต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพดี เราก็สามารถสรุปได้ว่า อาสนะ
เพื่อสร้างสมดุลนั้น มีผลดีต่อสุขภาพ สภาวะที่ทําให้เนื้อเยื่อต่างๆ มีความสมบูรณ์แข็งแรง ตาม
ศาสตร์แห่งกายวิภาค สุขภาพของเนื้อเยื่อขึ้นกับปัจจัย 3 ประการ ดังนี้
1. ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมอย่างสม่ําเสมอ ได้รับฮอร์โมนต่าง ๆ จากระบบ
ฮอร์โมนที่เหมาะสม สม่ําเสมอ
2. มีการจัดของเสียออกจากเนื้อเยื่ออย่างมีประสิทธิภาพ
3. ระบบประสาทที่เชื่อมโยงกับเนื้อเยื่อเหล่านี้ อยู่ในสภาพปกติ ทํางานได้ดี
องค์ประกอบที่จําเป็นต่อเนื้อเยื่อ ได้แก่ โปรตีน ไขมัน น้ําตาล วิตามินเกลือแร่
 และออกซิเจน ซึ่งนําพาไปโดยเลือด ใน 4 อย่างแรกนั้น ได้มาจากอาหารและน้ําที่มนุษย์กินดื่ม เข้าไป สารทั้ง 4 นี้ ไม่เพียงขึ้นกับปริมาณและคุณภาพของอาหารที่เรารับเข้า หากแต่ยังขึ้นกับ ประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหาร, ระบบดูดซึมสารอาหาร และระบบไหลเวียนของเลือดอีกด้วย
ประโยชน์ของฝึกอาสนะด้านการเสริมสร้างสุขภาพกาย มีดังต่อไปนี้
1. ประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร
อวัยวะสําคัญของระบบย่อยอาหาร ได้แก่ กระเพาะ ลําไส้เล็ก ตับอ่อน และตับ
ทั้งหมดอยู่ในช่องท้อง  ล้อมรอบด้วยกล้ามเนื้อท้องที่แข็งแรง  และรองรับด้วยกระดูกเชิงกราน
ธรรมชาติได้จัดกลไกที่จะนวดอวัยวะเหล่านี้โดยอัตโนมัติตลอดเวลา  24 ชั่วโมง  การนวดตาม
ธรรมชาติที่สําคัญเกิดจากกล้ามเนื้อหน้าท้อง และกล้ามเนื้อกระบังลม ในการหายใจออกทุกครั้ง
กล้ามเนื้อหน้าท้องจะหดตัว ดันอวัยวะทุกชิ้นในช่องท้อง (รวมทั้งระบบย่อยอาหาร) ขึ้นและลง
ขณะที่หายใจเข้ากระบังลมจะดันอวัยวะในช่องท้องให้เคลื่อนลง ดันให้ป่องออกมาด้านหน้าและ
ช่วยคลายกล้ามเนื้อหน้าท้อง การนวดนี้เกิดประมาณ นาทีละ 14-18 ครั้งไปอย่างต่อเนื่อง
ตลอดเวลา การนวดตามธรรมชาตินี้จะได้ผลดี ก็ต่อเมื่อร่างกายมีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแรง
และยืดหยุ่นเพียงพอ หาไม่การนวดก็บกพร่อง ระบบย่อยอาหารก็บกพร่อง คนที่มีอาการอาหาร
ไม่ย่อยนั้นเกิดจากกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งเกินหรืออ่อนแอเกินไป และอาสนะช่วยเสริมสร้าง
ความแข็งแรงตลอดจนเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ไม่เพียงเท่านั้น อาสนะยังเป็น
การกดนวดอวัยวะต่างๆ ภายในช่องท้องที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเราไม่พบในระบบการออกกําลังกาย
อื่นๆ เลย เพราะการยืด-หดกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ
ซึ่งเราจะไม่พบในระบบการออกกําลังกายอื่นๆ เลย ท่าที่มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร มีดังนี้
– ท่างู ท่าตั๊กแตน และท่าธนู เป่นการเหยียดกล้ามเนื้อหน้าท้องและเป็นการหด
กล้ามเนื้อหลัง
–  ท่าโยคะมุทธา ปัจฉิโมทนาและท่าคันไถ เป็นการหดกล้ามเนื้อหน้าท้องและ
ยืดกล้ามเนื้อหลัง
–  ท่าบิดสันหลัง ช่วยยืด หด กล้ามเนื้อข้างลําตัวของช่องท้อง
–  ท่าอุทธิยานะพันธะ เป็นการนวดอวัยวะในช่องท้องตามแนวตั้ง
–  นาอุลิ เป็นการนวดอวัยวะในช่องท้องแนวนอน
ซึ่งการฝึกอาสนะดังกล่าวแล้วทําให้การนวดตามธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังเป็นตัวตรึงให้อวัยวะต่างๆ ในช่องท้องอยู่ตามตําแหน่งของมัน ทําให้ระบบย่อย อาหารและระบบดูดซึมสารอาหารได้ทําหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์
2. ประโยชน์ต่อระบบไหลเวียนของเลือด
ระบบที่จําเป็นสําหรับการนําสารอาหารไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย คือ ระบบไหลเวียนของเลือด อวัยวะสําคัญของระบบนี้ ได้แก่ หัวใจ, เส้นเลือดแดง, เส้นเลือดดํา และ หลอดเลือดที่เชื่อมระหว่างหลอดเลือดแดงและดํา
อวัยวะที่สําคัญที่สุดของระบบนี้ก็คือ หัวใจ ด้วยการหดและคลายตัวของหัวใจ ที่ ทําให้เลือดไหลเวียนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจทําด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุด แต่เราก็ สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้กับมันได้ด้วยท่าต่างๆ ดังนี้
–  ท่าอุทธิยานะ นาอุลิ เป็นการยกกระบังลมขึ้นสูงขึ้นมากจนสามารถช่วยนวด
ส่วนล่างของหัวใจเป็นการเพิ่มหรือลดความดันในช่องอก จึงเป็นการนวดหัวใจ
ไปในตัว
–  ท่างู ตั๊กแตน ท่าธนู และท่าคันไถ ช่วยเพิ่มความดันในช่องออก
–  ท่ากลับบนลงล่าง ท่ายืนด้วยไหล่และท่าศีรษะอาสนะ ช่วยให้หลอดเลือดดํา
พาเลือดไหลกลับสู่หัวใจโดยไม่ต้่องทํางานหนัก
3. ประโยชน์ต่อระบบหายใจ
อวัยวะหลักของระบบหายใจ คือ ปอด อย่างไรก็ตาม การหายใจที่ดีไม่ได้ขึ้นกับ ประสิทธิภาพของปอดเท่านั้น กล้ามเนื้อที่รับผิดชอบในระบบหายใจก็มีความสําคัญยิ่งเช่นกัน ซึ่ง
ต้องแข็งแรงและอยู่ในสภาพดี  นอกจากนั้นช่องทางที่อากาศจะเดินทางเข้าสู่ปอดก็ต้อง
ปลอดโปร่ง เพื่อให้อากาศเข้าสู่ปอดได้เต็มที่ เราจะพบว่า ระบบหายใจขึ้นกับปัจจัย  3 ประการ
1) ปอดต้องมีสุขภาพดี
2) กล้ามเนื้อของระบบหายใจต้องแข็งแรง 3) ท่อทางเดินของระบบหายใจต้องปลอดโปร่ง อาสนะ ช่วยพัฒนาปัจจัยทั้ง 3 ดังกล่าวได้ดังนี้
1. สุขภาพของปอดขึ้นกับความยืดหยุ่นของเนื้อปอดและถุงลมขนาดจิ๋วที่ประกอบ ขึ้นมาเป็นตัวปอด หากปอดมีความยืดหยุ่นดี ถุงลมทั้งหลายอยู่ในสภาพดี สุขภาพของปอดก็ดี อาสนะช่วยเสริมสภาวะทั้ง 2 นี้ คือ
– ท่าตั๊กแตก ท่านกยูง ซึ่งทั้ง  2 ท่านี้ ต้องหายใจเข้าลึก และจําเป็นกลั้น ลมหายใจไว้ชั่วครู่ ซึ่งสร้างแรงดันขึ้นในปอด แรงดันนี้จะอัดอากาศเข้าไปยังถุงลมขนาดจิ๋วนี้จน ทั่ว การทําท่าเหล่านี้สม่ําเสมอทุกวัน ทําให้ถุงลมทุกถุงได้มีโอกาสทํางาน ส่งผลให้ถุงลมทํางาน
ต่อเนื่องตลอด ไม่ว่าแรงดันในปอดจะมากหรือน้อยก็ตาม ซึ่งท่าตั๊กแตนจะช่วยสร้างความยืดหยุ่น ปอด เพราะที่ฝึกเราหายใจเข้าลึกแล้วกลั้น ระหว่างนั้นปอดได้เหยียดเต็มที่ การทําท่าตั๊กแตน วันละ 3-7 ครั้ง จะสร้างความยืดหยุ่นของปอดได้อย่างเพียงพอ ช่วยให้ถุงลมขนาดจิ๋วทุกถุงได้ ทํางานและช่วยให้ปอดยืดหยุ่น
2. ความแข็งแรงระบบกล้ามเนื้อในระบบหายใจ การหายใจเข้าลึกในท่าตั๊กแตน การหายใจออกสุดในท่าอุทธิยานะและนาอุลิ ทําให้กล้ามเนื้อระบบหัวใจแข็งแรง
3. ความปลอดโปร่งของทางเดินหายใจ ทางเดินหายใจของมนุษย์จะถูกขวางด้วย ทอนซิลอักเสบ เนื้องอกในจมูก น้ํามูกไหลเรื้อรัง ช่องจมูกเบี้ยว ฯลฯ อาสนะช่วยได้ในกรณี ของทอนซิล น้ํามูกเรื้อรัง แต่ไม่สามารถช่วยได้ในกรณีของความผิดปกติเชิงโครงสร้าง ท่ากลับ บนลงล่าง ยืนด้วยไหล่ ท่าปลา ชิวะพันธะ สิงหะมุทรา ช่วยอาการทอนซิล น้ํามูกเรื้อรังได้ กล่าวคือ อาสนะมีส่วนช่วยทําให้ทางเดินหายใจโปร่งขึ้นได้
ดังที่กล่าวข้างต้น อาสนะช่วยปัจจัยทั้ง  3 ประการได้ ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณ
ออกซิเจนในกระแสเลือด
4. ประโยชน์ต่อระบบฮอร์โมน
สุขภาพของเนื้อเยื่อไม่ได้ขึ้นกับเพียงองค์ประกอบ  5 อย่าง โปรตีน ไขมัน น้ําตาล
วิตามินเกลือแร่ และออกซิเจน เท่านั้น หากยังขึ้นกับฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมฮอร์โมน
ภายในร่างกายด้วย ต้อการทํางานของระบบฮอร์โมน ไทรอยด์ พิทุอิตารี ต่อมไพเนียล ต่อมอดี
นาล อัณฑะ รังไข่ คือ ต่อมฮอร่โมนที่สําคัญของร่างกาย ความบกพร่องของต่อมเหล่านี้จะ
ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อร่างกาย ซึ่ง อาสนะ มีส่วนช่วยให้การทํางานของต่อมเหล่านี้เป็นปกติ
ดังนี้
–  ท่ากลับบนลงล่าง ท่ายืนด้วยไหล่ ท่าปลา ชิวะพันธะ สิงหะมุทรา เอื้อต่อการ
ทํางานของไทรอยด์อย่างวิเศษ
–  ท่าศีรษะอาสนะส่งผลดีต่อต่อมไพเนียลและพิทุอิตารี ท่างู ธนู อุทธิยานะ
และ นาอุลิ ดีต่อต่อมอดีนาล
–  ท่ายืนด้วยไหล่ อุทธิยานะ และนาอุลิ ดีต่ออัณฑะและรังไข่
5. ประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย
สุขภาพของเนื้อเยื่อยังขึ้นกับการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิ
ภาพอีกด้วย ของเสียของร่างกาย ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ กรดยูริก ยูเรีย ปัสสาวะ อุจจาระ
ซึ่งประกอบด้วย สิ่งที่ย่อยไม่ได้และสิ่งที่ย่อยไม่หมด ของเสียเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพิษ หากปล่อย
ให้มันดูดซับกลับเข้าสู่ร่างกายก็จะเป็นโทษ ดังนั้น จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่ของเสียเหล่านี้ควรถูกขับ
จากร่างกายอย่างเหมาะสม คาร์บอนไดออกไซด์ถูกขับด้วยระบบหายใจ กรดยูริก ยูเรีย
ปัสสาวะถูกขับถ่ายโดยกระเพาะปัสสาวะ น้ําดี อุจจาระถูกขับถ่ายด้วยลําไส้ใหญ่ ดังนั้นเรา สามารถกล่าวได้ว่า การขับของเสียออกจากร่างกายจะเป็นไปโดยประสิทธิภาพ หากระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่ายปัสสาวะทํางานได้ดี ซึ่งเราได้กล่าวถึงผลดีของอาสนะ ต่อระบบหายใจและระบบย่อยอาหารแล้ว
ส่วนระบบขับถ่ายปัสสาวะ อวัยวะที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ไต กระเพาะปัสสาวะและท่อ ปัสสาวะ ในบรรดาอวัยวะเหล่านี้ที่สําคัญคือ ไต ที่ทําหน้าที่ขับของเสียจริงๆ ที่เหลือทําหน้าที่เป็น เพียงภาชนะเสียมากกว่า ไต ก็อยู่ติดช่องท้องด้านหลัง ซึ่งอาสนะทั้งหลายล้วนช่วยในการกดนวด ช่องท้อง อันส่งผลให้ไตทํางานได้ดีขึ้นด้วย เช่น อาสนะ ดังนี้
–  ท่าอุทธิยานะ นาอุลิ ท่าโยคะมุทรา
6. ประโยชน์ต่อระบบประสาท
สุขภาพของร่างกายขึ้นกับความเป็นปกติของระบบประสาท  ที่เชื่อมโยง
ติดต่อสื่อสารระหว่างทุก ๆ ส่วนของร่างกาย อวัยวะสําคัญของระบบประสาท คือ สมอง ถัดไปคือ แกนประสาท โดยมีเส้นใยประสาทเล็กๆ แตกกิ่งก้านสาขาออกไปทั้งจากสมองและแกนประสาท แผ่ไปตามส่วนต่างๆ ตลอดทั่วทั้งร่างกาย เครือข่ายของระบบประสาทโยงใยอย่างสมบูรณ์ เรียกได้ ว่า เนื้อเยื่อทุกทุกส่วนของร่างกาย มีระบบเชื่อมต่อของตัวมันเอง และด้วยการเชื่อมต่อนี้แหละ เนื้อเยื่อจึงสามารถ ทํางาน ของมันได้ หากเส้นใยเหล่านี้เกิดความบกพร่อง การทํางานของ เนื้อเยื่อก็พลอยบกพร่องไปด้วย และหากการเชื่อมโยงเหล่านี้เสียหาย เนื้อเยื่อก็ไม่สามารถทํางาน ได้อย่างสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่น หากใยประสาทที่ลําไส้ใหญ่ไม่เชื่อมต่อเนื้อเยื่อของลําไส้ใหญ่ ลําไส้ใหญ่ก็ไม่ทํางาน ผลก็คือ อาการท้องผูก หากใยประสาทที่ใบหน้าถูกตัดขาดหรือเป็นอัม พฤกษ์ กล้ามเนื้อแก้มที่เชื่อมต่อด้วยใยประสาทนั้น ก็ไม่เกิดการยืดหดตัว คงสภาพคลายตัวอยู่ กล้ามเนื้อข้างแก้มที่ยังทํางานอยู่ก็จะดึงเอากล้ามเนื้อแก้มไปด้วย รูปหน้าก็บิดเบี้ยวไป อันเป็น ลักษณะที่พบเห็นได้ของผู้ป่วยอัมพฤกษ์ ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า เนื้อเยื่อของร่างกายจะเป็นปกติ ได้ก็ต่อเมื่อระบบประสาทเชื่อมโยงทํางานได้เป็นปกติ
อาสนะสามารถรักษากลไกการทํางานของระบบประสาทให้ทํางานได้เป็นปกติ ดังนี้
–  ท่ากลับบนลงล่าง ท่าศีรษะอาสนะ ส่งเลือดจํานวนมากไปยังสมอง ทําให้
สมองประสาทแข็งแรง
–  ท่าอาสนะทุกท่าช่วยบริหารแกนประสาท  ไม่ว่าจะเป็นการก้มตัวไปข้างหน้า
เงย  แอ้นตัวไปข้างหลังและบิดตัวไปทางซ้าย-ขวา  อาสนะช่วยสร้างความ
ยืดหยุ่นให้แกนประสาท อันนําไปสู่สุขภาพที่ดีของแกนประสาท ซึ่งทอดตัวอยู่
ตลอดแนวกระดูกสันหลัง ทั้งยังทําให้เส้นSympathetic 2 เส้น  ที่อยู่ใน
กล้ามเนื้อข้างกระดูกสันหลังแข็งแรงด้วย
–  อุทธิยานะและนาอุลิ เป็นการฝึกกระบังลม ซึ่งมีส่วนช่วยรักษาสุขภาพของแกน
ประสาทและ Sympathetic cord ใยประสาทจากสมองและแกนประสาทนั้น
มีอยู่เป็นจํานวนมากในช่องลําตัว ทั้งช่องทรวงอกและช่องท้อง ซึ่งทั้งอาสนะ
อุทธิยานะ และนาอุลิ ล้วนเป็นการบริหารอวัยวะต่างๆ ในช่องลําตัว อันรวม
ไปถึงใยประสาทต่างๆ ที่อยู่ภายในด้วย
–  ท่าตั๊กแตน กลับบนลงล่าง ยืนด้วยไหล่  ช้วยดูแลใยประสาทส่วนล่างของ
ร่างกาย ตลอดทั่วขาทั้ง 2 ข้าง
–  ท่านกยูง ตั๊กแตน กลับบนลงล่าง ยืนด้วยไหล่ ฯลฯ ช่วยดูแลใยประสาท
ส่วนบนของร่างกาย ตลอดจนถึงแขนทั้ง 2 ข้าง ดังนั้น อาสนะจึงมีประโยชน์
ต่อสุขภาพไม่เพียงสมองและแกนประสาท หากครอบคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย
อาสนะ ช่วยด้านกายวิภาค ทั้ง 3 ประการ ช่วยเรื่องการลําเลียงสารอาหาร
ออกซิเจน ฮอร์โมน ไปยังเนื้อเยื่อ ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากเนื้อเยื่ออย่างมีประสิทธิภาพ และ ช่วยให้ระบบโยงใยของประสาททํางานได้เป็นปกติ เนื้อเยื่ออันเป็นโครงสร้างพื้นฐานของทุก อวัยวะ ทุกระบบในร่างกายก็ทํางานได้เป็นปกติ เกิดความประสานกลมกลืนระหว่างการทํางาน ของเนื้อเยื่อทั้งหลาย อันเ้ปนการคงสุขภาวะของร่างกาย
7. ประโยชน์ต่อกระดูก สมอง
เราได้ทําความเข้าใจไปแล้วถึงผลดีของอาสนะต่อกระดูกสันหลังและสมอง อันเป็น อวัยวะสําคัญของระบบประสาทกระดูกสันหลังและสมอง ยังเป็นอวัยวะสําคัญต่อการฝึกทาง จิตวิญญาณด้วย หากกระดูกสันหลังและสมองไม่พร้อม ผู้ฝึกก็มักประสบปัญหาขณะฝึกทางด้าน จิตวิญญาณ จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมสมอง (รวมถึงกระดูกสันหลัง) เพื่อการฝึกดังกล่าว
8. ประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อ
ผลดีของอาสนะที่มีต่อกล้ามเนื้อ  ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญของการมีสุขภาพที่ดีเช่นกัน ถ้าเราไม่มีกล้ามเนื้อหรือว่ากล้ามเนื้อบกพร่อง ก็ยากที่จะทําอะไรได้ เช่น หากกล้ามเนื้อทรวงอก
และกล้ามเนื้อหน้าท้องบกพร่อง  เราจะเจ็บไข้ได้ป่วยง่ายมาก  ผู้หญิงที่กล้ามเนื้อหน้าท้อง
กล้ามเนื้อสะโพกอ่อนแอ มีแนวโน้มที่จะแท้ง รวมไปถึงมีความเสี่ยงที่ลูกจะเสียชีวิตตอนคลอด
อาสนะมีส่วนช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ ในด้านของกล้ามเนื้อทรวงอกและกล้ามเนื้อ
หน้าท้อง อาสนะช่วยได้เป็นอย่างดี สําหรับกล้ามเนื้อแขน-ขา รวมถึงกล้ามเนื้อทุกส่วนของ ร่างกาย อาสนะช่วยรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม อาสนะมีข้อจํากัด คือ ไม่สามารถบริหารให้กล้ามเนื้อแขน-ขาใหญ่โต แข็งแรงกว่าปกติได้
อาสนะเพื่อสมาธิ
อาสนะเพื่อสมาธิ คือ การจัดตัวอยู่ในตําแหน่งที่สบายที่สุด ให้ได้นานที่สุด เพื่อฝึก ปราณยามะ ควบคุมประสาทสัมผัส ฝึกกําหนดจิตให้นิ่ง และสมาธิ ต่อไปเรามาศึกษาลักษณะ ทางกายวิภาคและประโยชน์ของอาสนะเพื่อสมาธิ
อาสนะเพื่อสมาธิ ประกอบด้วยคุณสมบัติทางกายภาพ 3 ประการ ดังนี้
1. กระดูกสันหลังตั้งตรง ยืดหน้าท้อง เพื่อลดแรงกดที่อวัยวะต่างๆ ในช่องท้อง จิตใจ ปลอดโปร่งจากข้อจํากัดของร่างกาย
2. เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงที่บริเวณสะโพกเป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะที่ส่วนปลาย ของกระดูกสันหลัง
3. ลดการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ของร่างกาย การเคลื่อนไหวช้าลง  ทั้งปอดและ
หัวใจ แยกความรู้สึกทางร่างกายออกไปจากจิต
เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ ขณะอยู่ในอาสะเพื่อสมาธิ จิตจะต้องอิสระจากข้อจํากัด ทางกาย กล่าวคือ ต้องจัดร่างกายให้อยู่ในตําแหน่งที่ง่าย สบาย และสมดุลที่สุด การคง แผ่นหลังตั้งตรง ร่างกายเป็นรูปสามเหลี่ยม อยู่บนฐานที่มั่นคง มือปล่อยวางสบายบนเข่าหรือส้นเท้า เป็นตําแหน่งที่เหมาะที่สุด บางคนอาจเถียงว่า ตําแหน่งในท่านอน สบายกว่า แต่ตําแหน่ง ในท่านอนนั้น แม้ร่างกายสบายกว่า แต่ก็ไม่เหมาะสําหรับสมาธิ เพราะผู้ฝึกจะเผลอหลับไป ดังนั้น การนั่งหลังตรงนี้จึงเป็นท่าที่เหมาะที่สุดสําหรับการนั่งสมาธิ
เราจะพบประโยชน์ของการตั้งหลังตรง การนั่งหลังตรงทําให้เราต้องตึงกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งเป็นผลดีต่ออวัยวะภายในช่องท้อง หากเรานั่งสบายเกินไป คือ งอตัว ช่องท้องจะเว้าเข้า กล้ามเนื้อหน้าท้องคลายตัว ซึ่งเมื่อนั่งเป็นเวลานาน (เพราะอาสนะเพื่อสมาธิมักใช้เวลานาน บาง ทีเป็นเวลาหลายชั่วโมง) ก็จะก่อให้เกิดโรคได้ เช่น ท้องผูก
ลักษณะทางกายภาคประการที่สองของอาสนะเพื่อสมาธิคือ  การที่เลือดไหลเวียนมา
หล่อเลี้ยงบริเวณสะโพกได้เป็นอย่างดี เป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกและประสาทบริเวณ
ปลายล่างของกระดูกสันหลัง  อาสนะเพื่อสมาธิทุกท่าเป็นการกดทับอวัยวะของร่างกายส่วนล่าง
โดยเฉพาะที่ขาทั้งสอง  กล้ามเนื้อตลอดขาทั้งสองจะนิ่งไม่ทํางานเป็นเวลานาน  ทําให้เลือด
ไหลเวียนมาเลี้ยงที่สะโพก เชิงกรานมากเป็นพิเศษ
ลักษณะทางกายภาคอันสุดท้าย คือ ลดการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากอาสนะ เพื่อสมาธินั้น ใช้กล้ามเนื้อแต่ เพียงน้อย กล่าวได้ว่า ยกเว้นท่านอนแล้ว อาสนะเพื่อสมาธิเป็นการ ใช้แรงกล้ามเนื้อน้อย เมื่อการใช้กล้ามเนื้อน้อยคาร์บอนไดออกไซด์ก็น้อยไปด้วย
เป็นที่ยอมรับในทางกายวิภาคว่า ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มีผลโดยตรงกับการ
ทํางานของปอด หากมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายมาก ปอดก็จะทํางานมากตามไป
ด้วย ในทางตรงกันข้าม ปอดจะทํางานช้า หากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายมีเพียง จํานวนน้อย และเช่นกันการทํางานของหัวใจสัมพันธ์โดยตรงกับการทํางานของปอด เมื่อปอด ทํางานน้อยลง หัวใจทํางานน้อยลง ช้าลงด้วย ดังนั้น ในอาสนะเพื่อสมาธิร่างกายใช้กล้ามเนื้อแต่ น้อย ผลิตคาร์บอนไดออกไซด์น้อย ปอดก็ทํางานน้อยลง หัวใจก็เต้นช้าลง เมื่ออยู่ในอาสนะเพื่อ สมาธิเป็นเวลานาน เช่น ติดต่อกันเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ลมหายใจก็สงบ การเต้นของหัวใจก็สงบ การหายใจจะเกิดเฉพาะที่บริเวณหน้าท้อง (กล้ามเนื้อทรวงอกไม่ทํางาน) เป็นการขยับเข้า-ออกที่ หน้าท้องอย่างแผ่วเบา ช่วยให้ผู้ฝึกสังเกตเห็นการทํางานของปอดได้อย่างชัดเจน ณ ห้วงขณะนี้ เป็นสภาวะที่จิตของผู้ฝึกค่อนข้างเป็นอิสระจากการเคลื่อนไหวของกาย ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อที่ ควบคุมได้หรือกล้ามเนื้ออัตโนมัติ ผู้ฝึกจะพบว่าสามารถกําหนดจิตให้ลึกลง สามารถแยกจิตออก จากความนึกคิด เผชิญอยู่กับความจริงแท้และผสานเป็นหนึ่งเดียวกับสภาวะสูงสุด
ด้านสมประโยชน์
การฝึกโยคะ  เมื่อผู้ฝึกมีทักษะการฝึกที่ถูกต้องแล้วสามารถฝึกปฏิบัติได้ด้วยตัวเอง เป็นกิจกรรมที่ใช้พื้นที่ในการฝึกน้อยมาก แม่แต่ห้องพักเล็ก ๆ ก็สามารถฝึกอาสนะได้ จึงง่ายต่อ การฝึกเพื่อเป็นการสร้างเสริมสุขภาพด้วยตนเอง
สรุป
โดยสรุป โยคะเป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกแขนงหนึ่ง จัดเป็นศาสตร์การดูแลสุขภาพ แบบองค์รวม ซึ่งรวมกายกับใจของผู้ฝึกเข้าด้วยกัน โดยให้ความสําคัญกับเทคนิคต่าง ๆ ที่ช่วยให้ มนุษย์รู้จักมูลเหตุทุกชนิดที่ขาดสมดุล อันก่อให้เกิดการเจ็บป่วย และจัดปรับให้คืนสู่ความเป็น ปกติ ดังนั้นโยคะจึงเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการพัฒนาทางด้านจิตและกายของมนุษย์ และด้านการ บําบัดรักษาไปพร้อม ๆ กัน กองการแพทย์ทางเลือก ได้เล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ของศาสตร์โยคะ จึงได้ดําเนินการคัดกรองท่าโยคะที่เหมาะสมสําหรับวัยรุ่น เป็นท่าที่ฝึกงาย ไม่ยาก และปลอดภัย โดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะจากหลายสํานักในประเทศไทย เพื่อจัดทําเป็นคู่มือโยคะสําหรับ วัยรุ่น เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพในวัยรุ่นโดยการฝึกได้ด้วยตนเอง และได้ทดลองประเมินท่าฝึก ต่าง ๆ ในคู่มือ โดยกลุ่มนักเรียนวัยรุ่นจากโรงเรียนศรีบุณญานนท์ จังหวัดนนทบุรี ขณะนี้อยู่ ระหว่างจัดทําเป็นรูปเล่ม และนําเผยแพร่ต่อไป ส่วนโยคะเพื่อการบําบัดในกลุ่มอาการต่าง ๆ ทางกองฯ จะดําเนินการเพื่อศึกษาวิจัยต่อไป
เอกสารอ้างอิง
1.กมล จันทรสร โยคะวิถีแห่งสุข เรียบเรียงจากคําสอนของโยคีวิษณุเทวะนันทะ
แห่งฤาษีเกษ อินเดีย  2540
2.ชมชื่น สิทธิเวช โยคะเพื่อสุขภาพ. สํานักพิมพ์อมรินทร์ กรุงเทพฯ พิมพ์ครั้งที่ 2
2546
3.นงเยาว์ ชาญณรงค์ ปรัชญาอินเดียสมัยโบราณ สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัย
รามคําแหง กรุงเทพฯ พิมพ์ครั้งที่ 3 2545
4.ผาสุก (บุญซื่อ) มหรรฆานุเคราะห์ ประสาทกายวิภาคศาสตร์พื้นฐาน ฉบับแก้ไข
และเพิ่มเติม สํานักพิมพ์ พี.บี.ฟอเรน บุ๊คส์ เซนเตอร์ กรุงเทพฯ พิมพ์ครั้ง ที่ 2 2545
5.อเนกยุวจิตติและสุนีย์ ยุวจิตติ โยคะเพื่อพลังกายและพลังจิต โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช
กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ พิมพ์ครั้ง ที่ 9 2544
6.เอ็ม แอล กาโรเต้ และคณะ. เอกสารประกอบการสัมมนาโยคะกับการพัฒนา
ทรัพยากรมนุษย์, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,มูลนิธิหมอชาวบ้าน สํานักงาน
กองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ กรุงเทพฯ พิมพ์ครั้งที่ 1 2546 (อัดสําเนา)
7.เอ็ม แอล กาโรเต้. โยคะกับการส่งเสริมสุขภาพ ผู้อํานวยการสถาบันโยคะ โลนาวลา
อินเดีย 2546 (อัดสําเนา)

โมบายแอปพลิเคชัน

 

กรมการแพทย์แผนไทยฯ


สามารถติดต่อเราผ่าน Line

 

ได้แล้ววันนี้

ติดตาม กองการแพทย์ทางเลือก

ผ่านทางโซเชียลมีเดีย​ได้ที่

       


กองการแพทย์ทางเลือก
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
อาคาร 2 ชั้น 6 และชั้น 7 กระทรวงสาธารณสุข
ถนนติวานนท์ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์ : 02 591 7007 ต่อ 2607
โทรสาร : 02 149 5637
อีเมล์ : Thaicam2019@gmail.com

5919921
This Month : 20308
Total Users : 1529434
Views Today : 4824
Server Time : 2024-09-20