พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ
ฤๅษี หมายถึง นักพรตหรือนักบวชที่อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ในตำนานนิทานโบราณมักจะเรียกผู้ที่เป็นนักบวชว่า “ฤๅษี”ซึ่งเมืองไทยในอดีตอาจจะมีนักบวชลักษณะนี้แสวงหาความสงบสันโดษอยู่ตามป่าเขา เมื่อได้บำเพ็ญเพียรสมาธินานๆ อาจมีอาการเมื่อยขบ จึงได้ทดลองขยับเคลื่อนไหวร่างกาย ยืดงอและเกร็งตัวดัดตน ทำให้เกิดเป็นท่าดัดต่างๆ ช่วยให้คลายความเมื่อย จึงได้ข้อสรุปประสบการณ์บอกเล่าสืบต่อกันมา หรืออาจเกิดจากการคิดค้นของบุคคลทั่วๆ ไป เพราะสังคมไทยเรากว่า 2,000 ปี มีศาสนาพุทธเป็นที่ยึดเหนี่ยวในการปฏิบัติตน นักบวช นักพรต จึงอาจเป็นชาวพุทธที่นิยมการนั่งสมาธิวิปัสสนาอาจเป็นอุบาสกอุบาสิกา หรือพระสงฆ์
เมื่อ พ.ศ. 2331 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้รวบรวมตำรายา และปั้นท่าฤๅษีดัดตนไว้ด้วยดินปิดทองไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าให้มีการหล่อรูปฤๅษีดัดตนด้วยสังกะสีผสมดีบุกไว้จำนวน 80 ท่า และมีศิลาจารึกบรรยายสรรพคุณไว้เป็นโครงสี่สุภาพ การปั้นเป็นรูปฤๅษีและระบุชื่อฤๅษีเป็นผู้คิดค้นท่าเหล่านั้นอาจเป็นกลวิธีให้เกิดความขลัง เพราะผู้ฝึกต้องมาฝึกท่าต่างๆ กับรูปฤๅษีซึ่งเปรียบเสมือนได้ฝึกกับครู เพราะคนไทยสมัยก่อนนับถือฤๅษีเป็นครูของศิลปะวิทยาการต่างๆ
ท่าดัดตนของไทยส่วนใหญ่ไม่ใช่ท่าผาดโผนหรือฝืนร่างกายจนเกินไป เป็นท่าดัดตามอิริยาบถคนไทย มีความสุภาพและคนทั่วไปสามารถทำได้ อย่างไรก็ตามท่าฤๅษีดัดตนทั้ง 80 ท่า มีท่าแบบจีน 1 ท่า ท่าแบบแขก 1 ท่า ท่าดัดคู้ 2 ท่า อันแสดงถึงว่ามีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน และระบุไว้ชัดเจนว่าในบางท่าดังกล่าวเป็นของต่างชาติ ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปั้นเพิ่มเติมขึ้นภายหลัง ด้วยมนุษย์ต่างก็เสาะแสวงหาแนวทางช่วยเหลือตนเอง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีอายุยืนยาว ดังเช่น อินเดีย มีการบริหารร่างกายแบบโยคะ จีนมีการรำมวยจีน ไทเก๊ก ชี่กง ไทยมีการบริหารกายด้วยท่าฤๅษีดัดตน เป็นต้น
ได้แล้ววันนี้